Main navigation

จิตหลอกจิตคืออะไร

Q ถาม :

ขออนุญาตสอบถามอาจารย์ เคยได้ยินคำว่า จิตหลอกจิต มันเป็นอย่างไรครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

คือจิตมันปรุงแต่งได้สารพัด อย่างความฝันก็คือปรากฏการณ์จิตหลอกจิต

ความฝันมีฝันกลางคืนกับฝันกลางวัน

ฝันกลางคืนมี ๕ สาเหตุ ได้แก่

ฝันเพราะธาตุกำเริบ ถ้าเรากินมื้อดึก สังเกตดูสิ พอกินแล้วน้ำย่อยต้องหลั่ง น้ำดี ต้องหลั่ง ธาตุกำเริบ เดี๋ยวฝันเป็นตุเป็นตะไม่เป็นเรื่องเป็นราว

ฝันเพราะหมกมุ่นในอารมณ์ อย่างเช่น ทะเลาะกับแฟน ก็เลยทะเลาะกันต่อในความฝัน คราวนี้ มันจะปรุงแต่งอาการทะเลาะให้พิสดารไปเรื่อย ๆ นั่นแหละคือจิตหลอกจิต

ฝันเพราะสมาธิจิต พวกที่เข้าสมาธิก่อนนอนหรือนอนในสมาธิ จะฝันในสมาธิ พวกนี้มักจะเห็นความเป็นจริง ตรงจริง เห็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง เห็นตัวเลขบ้าง

ฝันเพราะเทพนิรมิต บางทีเทพทั้งหลายที่เป็นพ่อแม่เก่า ครูบาอาจารย์เก่าหวังดีกับเรา ก็จะมาบอกนู่นบอกนี่ ถ้าจิตเราดีมากเค้าก็จะมาบอกในภาวะปกติ ถ้าจิตเราไม่ค่อยดีเค้าก็จะมาฝันให้เรา เหมือนเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง บางทีมารก็มากระซิบบอก ก็คือมาปรุงแต่งในจิตของเรา ให้เป็นภาพ ให้เป็นความรู้สึก เจ้ากรรมนายเวรเวลามาก็มาปรุงอย่างนี้แหละ

ฝันถอดจิตออกไปเที่ยว อันนี้มักจะเป็นของจริง บางทีถอดจิตไปแล้วก็กลับมา จะสังเกตได้ว่า ฝันประเภทที่ ๕ นี้ เมื่อกลับมาทีไรจะสะดุ้งตกใจตื่นทุกที

ดังนั้น ฝันประเภทที่ ๒ เป็นจิตหลอกจิต และประเภทที่ ๔ ก็หลอกได้ นั่นคือฝันกลางคืน

ส่วนฝันกลางวันนั้น มนุษย์มีความสามารถพิเศษคือสามารถฝันกลางวันก็ได้ นั่งอยู่แล้วก็ day dream ฝันปรุงไป นั่นแหละจิตหลอกจิต ทั้งจิตตนหลอกตนเอง ทั้งจิตคนอื่นหลอกตน ทั้งจิตตนหลอกคนอื่น ทั้งสังคมหลอกจิต ทั้งระบบหลอกจิต ทั้งข้อมูลหลอกจิต ส่วนหนึ่งเป็นไปโดยตั้งใจหลอก ส่วนใหญ่เป็นไปโดยไม่ตั้งใจหลอกแต่หลงผิด

จิตที่หลอกจิตมากที่สุดในโลก ในทุกยุคทุกสมัย คือหลอกว่าเป็นตน จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง มันไม่มีอะไรเป็นตนเลยสักอย่าง พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ สิ่งทั้งปวงไม่เป็นตน” แต่จิตมันหลอกว่า นี่ไงฉัน ก็ฉันเป็นฉันอยู่นี่ไง เรอเน เดส์การ์ต นักปรัชญาฝรั่งเศสบอกว่า I think, therefore I am. ฉันคิดได้ ฉันจึงมีอยู่ นั่นไปคว้าความคิดมาเป็นตน แต่ความคิดเปลี่ยนไปตลอดเวลา เกิดแล้วไม่นานก็ดับหายไป นี่คือจิตหลอกจิต พวกเราล่ะ เป็นตนจริงหรือเปล่า ลองเอาตนมาให้ดูหน่อยซิ ตนอยู่ตรงไหน ควักมาให้ดูหน่อย สมองเดี๋ยวมันก็ถูกเผาไปกับร่างกาย นักจิตวิทยาเดี๋ยวนี้เค้ารู้แล้วว่าสมองไม่ใช่เรา ที่ Harvard เค้าสรุปกันแล้วว่าสมองไม่ใช่ตน คนจำนวนมากในโลกก็ยังคิดว่ามีตนอยู่ มีฉันอยู่ ตรงไหนที่เป็นฉัน แต่จิตมันสร้างความรู้สึกว่าเป็นฉัน นั่นเป็นจิตหลอกจิตอย่างมโหฬารเลย ตนไม่มี มีแต่ธรรมชาติที่ปรุงประกอบกันขึ้นมา เราใส่เหตุปัจจัยอะไรไป มันก็เป็นอย่างนั้น วันนี้เราเอาเหตุปัจจัยบางตัวออก อ้าว ธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว ฉันจริง ๆ มันไม่มี มีแต่รู้ นั่นล่ะที่มันมีอยู่ตามธรรมชาติจริง

รูปคือร่างกาย โลก จักรวาลทั้งหมด จิตคือรู้ เจตสิกคือสิ่งที่เราพัฒนาสะสมมา นิพพานคือความบริสุทธิ์สัมบูรณ์ ธรรมชาติจริง ๆ มีอยู่แค่นี้ รูป จิต เจตสิก นิพพาน ฉันมันไม่มีอยู่ในทั้งหมดนี้ ไม่มีเลย แต่มนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งเทวดา พรหม คิดว่าฉัน บางคนคิดว่า “ฉัน” ยังไม่พอ ปรุงแต่งอีกชั้น ฉันเป็นยอด ฉันเป็นเลิศ ฉันอย่างนู้น ฉันอย่างนี้ ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นคนไม่เอาไหน ฉันเป็นคนอ่อนแอ ฉันเป็นคนเก่ง ฉันเป็นคนกล้า เป็นคนขี้ขลาด นั่นคือจิตหลอกจิต

น่าส่งเสริมหรือน่าสงสาร ถามจริง ๆ ไม่มีฉันแล้วไปคว้าอะไรมาเป็นฉัน แล้วปรุงฉันซะจนบานเบอะ

มนุษย์ทั้งโลกกำลังหลอกตัวเองใช่ไหม มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่พบว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา มันไม่มีฉันใด ๆ เลย ไม่มีตนเลย มีแต่ธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อเราสลายเหตุปัจจัย ก็ว่างอย่างยิ่ง เหลือแต่ รู้ ที่เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นความหวังดีของพระพุทธองค์ ท่านได้สิ่งนี้แล้วท่านก็พยายามมาบอก ใครอยากได้ก็ทำ ใครยังเอร็ดอร่อยกับความเป็นฉันก็ปรุงกันต่อ ยิ่งปรุงก็ยิ่งทุกข์แน่นอน เพราะฉันคือโรงงานเก็บทุกข์ เป็นมายาล้วน ๆ มันไม่ใช่ของจริง

อ้าว นั่งพิจารณากันหน่อย เชิญนั่งสมาธิ ๑๐ นาที พิจารณาความเป็นฉันนี่ล่ะ ถ้ามันไม่มีจริง ๆ ก็ยอมรับซะว่ามันไม่มี ละวางความรู้สึกที่มันยังหลอนตัวเองอยู่

ส่วนจิตหลอกจิตแบบอื่น ๆ ไปนั่งวิปัสสนาความเป็นจริงในจิตใจ ในชีวิต ในระบบ ในวัฒนธรรม ในสังคม ในโลก ในความหวัง กันเอาเอง ดูไม่หวาดไม่ไหว 

ใครเบื่อแล้ว ก็ พอ เข้านิพพานเสีย