Main navigation

สังฆสูตร

ว่าด้วย
คนล้างฝุ่นล้างทอง
เหตุการณ์
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเปรียบเทียบการล้างอุปกิเลสของใจกับการล้างทอง

เครื่องเศร้าหมองอย่างหยาบของทอง คือ ดินร่วน ทราย ก้อนกรวด และกระเบื้อง คนล้างฝุ่นเททองนั้นลงไปในรางน้ำแล้วล้าง ล้างแล้วล้างอีก ล้างจนหมด เมื่อล้างเครื่องเศร้าหมองอย่างหยาบหมดแล้ว ทองยังคงมีเครื่องเศร้าหมองอย่างกลาง คือ ก้อนกรวดอย่างละเอียด ทรายอย่างหยาบ คนล้างฝุ่นย่อมล้างทองนั้นอีก ล้างจนหมด เมื่อล้างเครื่องเศร้าหมองอย่างกลางหมดแล้ว ทองยังคงมีเครื่องเศร้าหมองอย่างละเอียด คือ ทรายอย่างละเอียด และสะเก็ดกระลำพัก คนล้างฝุ่นย่อมล้างทองนั้นอีก ล้างจนหมด เมื่อล้างเครื่องเศร้าหมองอย่างละเอียดจนหมดแล้ว คราวนี้ยังคงเหลือกองทรายทอง
 
ช่างทองใส่ทองลงในเบ้าหลอม แล้วเป่าทองนั้น เป่าจนได้ที่ ยังไม่ติดสนิทแนบเป็นเนื้อเดียวกัน ย่อมไม่อ่อน ไม่ควรแก่การงาน ไม่ผุดผ่อง เป็นของแตกง่าย และเข้าไม่ถึงเพื่อกระทำโดยชอบ ช่างทองย่อมเป่าทองนั้น เป่าจนได้ที่ เมื่อทองถูกเป่าจนได้ที่ ติดสนิทแนบเป็นเนื้อเดียวกัน ย่อมเป็นของอ่อน ควรแก่การงาน ผุดผ่อง ไม่แตกหัก เข้าถึงเพื่อทำโดยชอบ มุ่งหมายสำหรับเครื่องประดับชนิดใด ๆ คือ แผ่นทอง ต่างหู เครื่องประดับคอ หรือดอกไม้ทองก็ดี เครื่องประดับชนิดนั้นย่อมสมความประสงค์ของเขา
 
เปรียบเสมือนกับอุปกิเลสอย่างหยาบ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ของภิกษุยังมีอยู่ ภิกษุย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างหยาบของใจตนนั้นเสีย ทำให้สิ้นไป ให้หมดไป
 
เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำให้มันสิ้นไปแล้ว ภิกษุยังคงมีอุปกิเลสอย่างกลาง คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ภิกษุย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างกลางของใจตนนั้นเสีย ทำให้สิ้นไป ให้หมดไป
 
เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำให้มันสิ้นสุดแล้ว ภิกษุยังคงมีอุปกิเลสอย่างละเอียด คือ ความวิตกถึงชาติ ความวิตกถึงชนบท และวิตกอันปฏิสังยุตด้วยความไม่ดูหมิ่น ภิกษุย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างละเอียดของใจตนนั้นเสีย ทำให้สิ้นไป ให้หมดไป
 
เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำมันให้สิ้นสุดไปแล้ว ยังคงเหลือแต่ธรรมวิตก (วิปัสสนูปกิเลส) ต่อไปเท่านั้น สมาธินั้นยังไม่ละเอียด ไม่ประณีต ไม่ได้ความสงบระงับ ยังไม่ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ยังมีการห้ามการข่มกิเลสด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง
 
สมัยใด จิตดำรงอยู่ในภายใน สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ สมัยนั้น สมาธินั้นเป็นธรรมละเอียด ประณีต ได้ความสงบระงับ ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีการห้ามการข่มกิเลสด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง ภิกษุนั้นจะโน้มน้อมจิตไปเพื่อทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองใด ๆ ภิกษุย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้น ๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ เป็นอยู่
 
ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า พึงแสดงฤทธิ์หลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุกำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ภิกษุย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้น ๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ เป็นอยู่
 
ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า เราพึงฟังเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งในที่ไกลและใกล้ ด้วยทิพโสตธาตุอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ภิกษุย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ เป็นอยู่
 
ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า เราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจของตน คือ
จิตมีราคะพึงรู้ว่า จิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็พึงรู้ว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะก็พึงรู้ว่า จิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็พึงรู้ว่า จิตปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะก็พึงรู้ว่า จิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็พึงรู้ว่า จิตปราศจากโมหะ
จิตหดหู่ก็พึงรู้ว่า จิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็พึงรู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็นมหรคตก็พึงรู้ว่า จิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็พึงรู้ว่า จิตไม่เป็นมหรคต
จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็พึงรู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็พึงรู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตเป็นสมาธิก็พึงรู้ว่า จิตเป็นสมาธิหรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็พึงรู้ว่า จิตไม่เป็นสมาธิ
จิตหลุดพ้นก็พึงรู้ว่า จิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็พึงรู้ว่า จิตไม่หลุดพ้น
ภิกษุย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้น ๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ เป็นอยู่
 
ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า ภิกษุพึงระลึกชาติก่อนๆ  ได้เป็นอันมาก คือ พึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมาก ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่า ในภพโน้นเรามีชื่อ มีโคตร มีผิวพรรณ มีอาหาร เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่อ มีโคตร มีผิวพรรณ มีอาหาร เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้น ๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ เป็นอยู่
 
ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า เราพึงเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภิกษุย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้น ๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่
 
ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า ภิกษุพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ภิกษุย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้น ๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่ เป็นอยู่



อ่าน สังฆสูตร

 

อ้างอิง
สังฆสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๕๔๑ หน้า ๒๔๐-๒๔๒
ลำดับที่
8

สถานที่

ไม่ระบุ

สถานการณ์

การปฏิบัติธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ

พระธรรม

ธรรมปฏิบัติ

พระธรรม

วิเวก

พระธรรม

ธรรมวิภังค์

พระธรรม

เวทัลลธรรม

พระธรรม

อานุภาพกรรม

พระธรรม

สุคติ สุคโต

พระธรรม

ฆราวาสธรรม