Main navigation

ผู้ไม่อิ่มในกาม

เหตุการณ์
พระศาสดาทรงปรารภเทพธิดาชื่อปติปูชิกา เมื่อจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี ปรารถนาจะไปบังเกิดในสำนักสามีเท่านั้น

เทพบุตรนามว่ามาลาภารีในดาวดึงส์เทวโลก มีนางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อมคอยปรนนิบัตร ในนั้นมีเทพธิดาองค์หนึ่งจุติบนกิ่งไม้ เมื่อสรีระดับไป นางถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี
 
นางระลึกชาติได้ว่าเป็นภริยาของมาลาภารีเทพบุตร นางจึงได้กระทำการบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เป็นต้น ปรารถนาการเกิดเฉพาะในสำนักของมาลาภารีเทพบุตรผู้เคยเป็นสามี แม้นางแต่งงานไปสู่ตระกูลสามีในวัยอายุ ๑๖ ปี ก็ได้ถวายสลากภัต ปักขิกภัต และวัสสาวาสิกภัต เป็นต้น แล้วอธิษฐานให้ส่วนแห่งบุญนี้ เป็นปัจจัยเพื่อประโยชน์แก่การบังเกิดในสำนักเทพบุตรสามีของนาง
 
ภิกษุทั้งหลายทราบว่านางนี้ปรารถนาจะไปบังเกิดในสำนักสามีเท่านั้น จึงขนานนามของนางว่า ปติปูชิกา
 
นางปติปูชิกาตั้งน้ำฉัน ปูอาสนะ และได้ถวายสลากภัตแก่ภิกษุสงฆ์เป็นนิตย์ เมื่อนางเดินก็ได้กุศลธรรมทุกย่างก้าว ต่อมานางได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรรวม ๔ คน

ในวันหนึ่ง ๆ นางถวายทาน ทำการบูชา ฟังธรรม รักษาสิกขาบท ต่อมาวันหนึ่ง นางได้เสียชีวิตด้วยโรคอย่างหนึ่ง แล้วกลับบังเกิดในสำนักสามีเดิมของตน
 
เทพบุตรเห็นนางจึงถามว่าเมื่อเช้านางหายไปไหนมา นางเทพธิดาตอบว่านางจุติไปเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในท้องมารดา ๑๐ เดือน อายุ ๑๖ ปี ไปสู่ตระกูลสามี คลอดบุตร ๔ คน ทำบุญมี ทาน เป็นต้น ปรารถนาถึงเทพบุตรและได้มาบังเกิดแล้วในสำนักของสามีตามเดิม

เมื่อเทพบุตรทราบว่าอายุของมนุษย์มีประมาณ ๑๐๐ ปี ก็ถามว่าพวกมนุษย์มีอายุประมาณเท่านี้ เกิดแล้วเป็นผู้ประมาทเหมือนหลับ ยังเวลาให้ล่วงไป หรือทำบุญมี ทาน เป็นต้น
 
เทพธิดาตอบว่าพวกมนุษย์ประมาทเป็นนิตย์ ประหนึ่งถือเอาอายุตั้งอสงไขยเกิดแล้ว ประหนึ่งว่าไม่แก่ไม่ตาย
 
ความสังเวชเป็นอันมาก ได้เกิดขึ้นแก่มาลาภารีเทพบุตรว่า
 
พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณ ๑๐๐ ปี เกิดแล้ว ประมาทนอนหลับอยู่ เมื่อไรหนอ จึงจักพ้นจากทุกข์ได้

๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่า ๑ วันในสวรรค์
ก็ ๑๐๐ ปีของพวกเทพบุตร เป็น ๑ คืน ๑ วันองพวกเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์
๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้น เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนนั้น เป็น ๑ ปี
๑,๐๐๐ ปีทิพย์ โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์
๑,๐๐๐ ปีทิพย์นั้น โดยการนับในมนุษย์เป็น ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี

เพราะฉะนั้น แม้วันเดียวของเทพบุตรนั้นยังไม่ล่วงไป เป็นครู่เดียวเท่านั้น ขึ้นชื่อว่าความประมาทของสัตว์ผู้มีอายุน้อยอย่างนี้ ไม่ควรอย่างยิ่ง
 
ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเข้าไปสู่บ้านของนาง เห็นโรงฉันยังไม่ได้จัด อาสนะยังไม่ได้ปู น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้ จึงได้รู้ว่านางตายแล้วเมื่อวานเย็น ภิกษุนั้นระลึกถึงอุปการะของนางไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ธรรมสังเวชได้เกิดแก่พระขีณาสพ ภิกษุเหล่านั้นไปทูลถามพระผู้มีพระภาคว่านางตายแล้วไปไหน พระผู้มีพระภาคตรัสว่านางไปเกิดในสำนักของมาลาภารีเทพบุตรในดาวดึงสพิภพ ผู้เป็นสามีของนาง
 
ภิกษุกล่าวว่า น่าสังเวช ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยจริง เช้าตรู่นางอังคาสพวกภิกษุ ตอนเย็น ตายด้วยโรคที่เกิดขึ้น
 
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย เหตุนั้นแล มัจจุราชผู้กระทำซึ่งที่สุด ยังสัตว์เหล่านี้ซึ่งไม่อิ่มด้วยวัตถุกามและกิเลสกามให้เป็นไปในอำนาจของตนแล้ว ย่อมพาเอาสัตว์ที่คร่ำครวญ ร่ำไรไป
 
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาว่า
 
มัจจุราชผู้ทำซึ่งที่สุด กระทำนระผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่าง ๆ เลือกเก็บดอกไม้อยู่เทียว ผู้ไม่อิ่มในกามทั้งหลายนั่นแล สู่อำนาจ
 
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น




อ่าน นางปติปูชิกา
อ่าน คาถาธรรมบท ปุปผวรรค

 

อ้างอิง
นางปติปูชิกา คาถาธรรมบท ปุปผวรรค พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏ เล่มที่ ๔๑ หน้า ๔๓-๔๘
ลำดับที่
29

สถานที่

ดาวดึงส์

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ