Main navigation

ชฎิลสูตร

ว่าด้วย
พึงรู้ได้ด้วยอะไร
เหตุการณ์
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เห็นชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฏกนิครนถ์ ๗ คน ปริพาชก ๗ คน ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พวกนักบวชเหล่านั้นคงเป็นพระอรหันต์ หรือบรรลุพระอรหัตมรรค

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์ หรือคนพวกนี้บรรลุอรหัตมรรค

แล้วตรัสว่า
 
ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
 
ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยการงาน ก็ความสะอาดนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
 
กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้น จะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
 
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
 
พระเจ้าปเสนทิโกศลกล่าวต่อไปว่า นักบวชเหล่านั้นเดิมเป็นจารบุรุษ เป็นคนสืบข่าวลับ แต่ตอนนี้ได้บวชและเอิบอิ่มเพรียบพร้อมด้วยเบญจกามคุณ 

พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงภาษิตพระคาถาว่า
 
คนผู้เกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจ เพราะผิวพรรณและรูปร่าง ไม่ควรไว้วางใจ เพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปยังโลกนี้ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจกุณฑลดินและมาสกโลหะหุ้มด้วยทองคำปลอมไว้

คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอก แวดล้อมด้วยบริวารท่องเที่ยวอยู่ในโลก



อ่าน ชฏิลสูตร

อ้างอิง
ชฏิลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ ข้อที่ ๓๕๔-๓๕๘ หน้า ๙๙-๑๐๑
ลำดับที่
13

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ