Main navigation

อัตตทัณฑสูตร

ว่าด้วย
ความกลัวเกิดจากโทษของตน
เหตุการณ์
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการทะเลาะกันเพราะเรื่องน้ำของเจ้าศากยะและเจ้าโกลิยะ ทรงดำริว่าจักทรงห้ามพระญาติเหล่านั้น ตรัสพระสูตรนี้ เมื่อจบเทศนา ศากยกุมารและโกลิยกุมาร ๕๐๐ ได้ผนวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา

ภัยเกิดแล้วแต่อาชญาของตน ท่านทั้งหลายจงเห็นคนผู้ทะเลาะกัน เราจักแสดงความสลดใจตามที่เราได้สลดใจมาแล้ว

เราได้เห็นหมู่สัตว์กำลังดิ้นรนอยู่ (ด้วยตัณหา และทิฐิ) เหมือนปลาในแอ่งน้ำน้อย ฉะนั้น ภัยได้เข้ามาถึงเราแล้ว เพราะได้เห็นคนทั้งหลายผู้พิโรธกันและกัน โลกโดยรอบหาแก่นสารมิได้ ทิศทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว เราปรารถนาความต้านทานแก่ตนอยู่ ไม่ได้เห็นสถานที่อะไรๆ อันทุกข์มีชรา เป็นต้น ไม่ครอบงำแล้ว เราไม่ได้มีความยินดีเพราะได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้อันทุกข์มีชราเป็นต้นกระทบแล้ว ผู้ถึงความพินาศ

เราได้เห็นกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้น ยากที่สัตว์จะเห็นได้ อันอาศัยหทัยในสัตว์เหล่านี้
สัตว์ถูกกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้นใดเสียบติดอยู่แล้ว ย่อมแล่นไปยังทิศทั้งปวง
บัณฑิตถอนกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้นนั้นออกได้แล้ว ย่อมไม่แล่นไปยังทิศ และไม่จมลงในโอฆะทั้งสี่

อารมณ์ที่น่ายินดีเหล่าใดมีอยู่ในโลก หมู่มนุษย์ย่อมพากันเล่าเรียนศิลปเพื่อให้ได้ซึ่งอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต ไม่พึงขวนขวายในอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น พึงเบื่อหน่ายกามทั้งหลายโดยประการทั้งปวงแล้ว พึงศึกษานิพพานของตน

มุนีพึงเป็นผู้มีสัจจะ ไม่คะนอง ไม่มีมายา ละการส่อเสียดเสีย เป็นผู้ไม่โกรธ พึงข้ามความโลภอันลามกและความตระหนี่เสีย

นรชนพึงครอบงำความหลับ ความเกียจคร้าน ความท้อแท้เสีย ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยความประมาท ไม่พึงดำรงอยู่ในการดูหมิ่นผู้อื่น พึงมีใจน้อมไปในนิพพาน ไม่พึงน้อมไปในการกล่าวมุสา ไม่พึงกระทำความเสน่หาในรูป และพึงกำหนดรู้ความถือตัว พึงเว้นเสียจากความผลุนผลันแล้วเที่ยวไป

ไม่พึงเพลิดเพลินถึงอารมณ์ที่ล่วงมาแล้ว ไม่พึงกระทำความพอใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ไม่พึงเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่กำลังละไปอยู่ ไม่พึงเป็นผู้อาศัยตัณหา

เรากล่าวความกำหนัดยินดีว่าเป็นโอฆะอันใหญ่หลวง กล่าวตัณหาว่าเป็นเครื่องกระซิบใจ ทำใจให้แล่นไปในอารมณ์ต่างๆ กล่าวตัณหาว่าเป็นอารมณ์แอบใจทำใจให้กำเริบ เปือกตมคือ กาม ยากที่สัตว์จะล่วงไปได้

พราหมณ์ผู้เป็นมุนี ไม่ปลีกออกจากสัจจะแล้ว ย่อมตั้งอยู่บนบก คือ นิพพาน
มุนีนั้นแลสละคืนอายตนะทั้งหมดแล้วโดยประการทั้งปวง เรากล่าวว่า เป็นผู้สงบ
มุนีนั้นแลเป็นผู้รู้ เป็นผู้ถึงเวท รู้สังขตธรรมแล้วอันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย เป็นอยู่ในโลกโดยชอบ ย่อมไม่ทะเยอทะยานต่ออะไรๆ ในโลกนี้

ผู้ใดข้ามกามทั้งหลาย และธรรมเป็นเครื่องข้องยาก ที่สัตว์จะล่วงได้ในโลกนี้ได้แล้ว ผู้นั้นตัดกระแสตัณหาขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่เพ่งเล็ง

ท่านจงทำกิเลสชาติเครื่องกังวลในอดีตให้เหือดแห้ง กิเลสชาติเครื่องกังวลในอนาคตอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าว่าท่านจักไม่ถือเอาในปัจจุบันไซร้ ท่านจักเป็นผู้สงบเที่ยวไป

ผู้ใดไม่มีความยึดถือในนามรูปว่าเป็นของเราโดยประการทั้งปวง และไม่เศร้าโศกเพราะเหตุแห่งนามรูปอันไม่มี ผู้นั้นแลย่อมไม่เสื่อมในโลก

ผู้ใดไม่มีกิเลสเครื่องกังวลว่า สิ่งนี้ของเรา และว่า สิ่งนี้ของผู้อื่น ผู้นั้นไม่ประสบการยึดถือในสิ่งนั้นว่าเป็นของเราอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี

บุคคลใดย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี เราเป็นผู้ถูกถามถึงบุคคลผู้ไม่หวั่นไหว จะบอกอานิสงส์ ๔ อย่างในบุคคลนั้น ดังนี้ว่า บุคคลนั้นไม่มีความขวนขวาย ไม่กำหนัดยินดี ไม่มีความหวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอารมณ์ทั้งปวง ธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งอะไรๆ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้รู้แจ้ง ผู้นั้นเว้นแล้วจากการปรารภมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น ย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทุกสถาน

มุนีย่อมไม่กล่าวยกย่องตนในบุคคลผู้เสมอกัน ผู้ต่ำกว่า ผู้สูงกว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบ ปราศจากความตระหนี่ ย่อมไม่ยึดถือ ไม่สละธรรมอะไรๆ ในบรรดาธรรมมีรูปเป็นต้น

 



อ่าน อัตตทัณฑสูตร

อ้างอิง
อัตตทัณฑสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๔๒๒ หน้า ๓๘๖-๓๘๗
ลำดับที่
18

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ