Main navigation

เหตุแห่งการหยั่งรู้ว่าตนมีอุปาทานขันธ์เหลือ

เหตุการณ์
เทวดา ๒ องค์มาพบพระผู้มีพระภาคแล้วกล่าวว่าภิกษุณีได้หลุดพ้นด้วยดีแล้ว ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ พระโมคคัลลานะคิดว่าเทวดาผู้ใดมีญาณหยั่งรู้ว่าบุคคลผู้ใดมีอุปาทานขันธ์เหลือ ในช่วงเวลานั้น ภิกษุชื่อติสสะเพิ่งมรณภาพ เข้าสู่ชั้นพรหมโลกชั้นหนึ่ง ท้าวติสสพรหมเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พระโมคคัลลานะจึงไปยังพรหมโลกเพื่อสนทนากับติสสพรหมว่าใครเป็นมีญาณหยั่งรู้ว่าผู้ใดมีอุปาทานขันธ์เหลือ

ติสสพรหมกล่าวกับท่านพระโมคคัลลานะว่าถึงเทวดาผู้มีญาณหยั่งรู้ว่าผู้ใดยังมีอุปาทานขันธ์

บุคคลผู้มีญาณหยั่งรู้ว่าผู้ใดมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือผู้ใดไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ

เทวดาชั้นพรหมเหล่าใดที่ยังยินดีด้วยอายุ วรรณะ สุข ยศ และความเป็นอธิบดีของพรหม แต่ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปอย่างยิ่งแห่งอายุ เป็นต้นนั้น ย่อมไม่มีญาณหยั่งรู้ว่าผู้ใดยังมีอุปาทานขันธ์

ส่วนเทวดาชั้นพรหมเหล่าใดไม่ยินดีด้วยอายุ วรรณะ สุข ยศ และความเป็นอธิบดีของพรหม และรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปอย่างยิ่งแห่งอายุ เป็นต้นนั้น เทวดาชั้นพรหมเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าผู้ใดยังมีอุปาทานขันธ์

ภิกษุเป็นอุภโตภาควิมุติ เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นอุภโตภาควิมุติ

ภิกษุเป็นปัญญาวิมุติ เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นปัญญาวิมุติ

กายของท่านจักตั้งอยู่เพียงใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นท่านเพียงนั้น เพราะกายสลายไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นท่าน

เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้

ภิกษุเป็นกายสักขี (ผู้บรรลุฌานแล้วกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน) เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นกายสักขี

ภิกษุเป็นทิฏฐิปัตตะ (ผู้ถึงที่สุดทิฐิ) เทวดาเหล่านั้น ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นทิฏฐิปัตตะ 

ภิกษุเป็นสัทธาวิมุติ(ผู้หลุดพ้นเพราะศรัทธา) เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นสัทธาวิมุติ

ภิกษุเป็นธัมมานุสารี (ผู้ดำเนินตามกระแสธรรม) เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นธัมมานุสารี 

ท่านเหล่านี้เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณมิตร อบรมอินทรีย์ พึงกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง

เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้

พระโมคคัลลานะกลับมาทูลพระผู้มีพระภาคถึงการสนทนา พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงบุคคลที่ ๗ ให้แก่พระโมคคัลลานะว่า

ภิกษุเป็นอนิมิตตวิหารี (ผู้มีปรกติบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้อยู่) ย่อมบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่

เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ ท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณมิตร อบรมอินทรีย์ พึงกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน

เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้


อ่าน ติสสูตร

อ้างอิง
ติสสสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๕๓ หน้า ๖๔-๖๗
ลำดับที่
28

สถานการณ์

การตอบปัญหาธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ