Main navigation
ไม่ลงอาชญาเมื่อกำลังกริ้ว ลงอาชญาเมื่อจิตผ่องใส

พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าเรากำลังกริ้วจัด ไม่พึงลงอาชญาอันไม่สมควรแก่ตนโดยไม่ใช่ฐานะก่อน
พึงเพิกถอนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างร้ายแรงไว้            

เมื่อใดรู้ว่าจิตของตนผ่องใส พึงใคร่ครวญความผิดที่ผู้อื่นทำไว้                           
พึงพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยตนเองว่า นี่ส่วนประโยชน์ นี่ส่วนโทษ                           
เมื่อนั้น จึงปรับไหมบุคคลนั้นๆ ตามสมควร

ไม่ถูกอคติครอบงำ

พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดไม่ถูกอคติครอบงำ ย่อมแนะนำผู้อื่นที่ควรแนะนำและไม่ควรแนะนำได้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นชื่อว่าไม่เผาผู้อื่นและพระองค์เอง
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดในโลกนี้ทรงลงอาชญาสมควรแก่โทษ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น อันคุณงามความดีคุ้มครองแล้ว ย่อมไม่เสื่อมจากสิริ            

กษัตริย์เหล่าใดถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนแล้วทำไป ทรงลงอาชญาโดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้นประกอบไปด้วยโทษน่าติเตียน ย่อมละทิ้งชีวิตไป
และพ้นไปจากโลกนี้แล้ว ก็ย่อมไปสู่ทุคติ

ยินดีในทศพิศราชธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศไว้

พระราชาเหล่าใดทรงยินดีแล้วในทศพิธราชธรรมอันพระอริยเจ้าประกาศไว้ พระราชาเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐด้วยกาย วาจา และใจ
พระราชาเหล่านั้นทรงดำรงมั่นอยู่แล้วในขันติ โสรัจจะ และสมาธิ ย่อมถึงโลกทั้งสองโดยวิธีอย่างนั้น.            

เราเป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่ของสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเราโกรธขึ้นมา เราก็ตั้งตนไว้ในแบบอย่างที่โบราณราชแต่งตั้งไว้ คอยห้ามปรามประชาชนอยู่อย่างนั้น ลงอาชญาโดยอุบายอันแยบคายด้วยความเอ็นดู

ไม่มักโกรธ มีใจผ่องใส

ข้าแต่กษัตริย์ผู้ชนาธิปัติ บริวารสมบัติและปัญญามิได้ละพระองค์ในกาลไหนๆ เลย พระองค์มิได้มักกริ้วโกรธ มีพระหฤทัยผ่องใสอยู่เป็นนิจ               

ประกอบด้วยคุณธรรม ปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็น

ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ทรงประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี้ คือ โบราณราชวัตรมั่นคง ทรงอนุญาตให้หนูเตือนได้ ไม่ทรงกริ้วโกรธ มีความสุขสำราญ ไม่เดือดร้อน ปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็น แม้จุติจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จงทรงถึงสุคติเถิด.

ครองราชสมบัติด้วยธรรม

พระเจ้าธรรมิกราชทรงฉลาดในอุบาย เมื่อครองราชสมบัติด้วยอุบายอันเป็นธรรม คือ กุศลกรรมบถ ๑๐  พึงยังมหาชนผู้กำเริบร้อนกายและจิตให้ดับหายไป เหมือนมหาเมฆยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่นด้วยน้ำ ฉะนั้น