Main navigation

เสวยวิมุตติสุข

เหตุการณ์
พระพุทธเจ้าทรงเสวยวิมุตติสุข หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้ ใต้ต้นไม้ต่าง ๆ ต้นละเจ็ดวัน

เมื่อพระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน  และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยามแห่งราตรี

ปฎิจจสมุปบาท อนุโลม

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร                         
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ                         
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป                         
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ                         
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ                         
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา                         
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา                         
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน                         
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ                         
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ        
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นอันว่ากอง  ทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม

เพราะอวิชชาดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ            
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ            
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ         
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ          
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ          
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ           
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ       
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ           
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ        
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ เป็นอันว่ากองทุกข์  ทั้งมวลนั่นย่อมดับ

เมื่อครบ ๗ วัน  ทรงออกจากสมาธิ เสด็จจากควงไม้โพธิพฤกษ์ ไปเสวยวิมุตติสุข ณ  ควงไม้อชปาลนิโครธตลอด ๗ วัน ได้ทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์หุหุกชาติคนหนึ่ง ว่าด้วยธรรมซึ่งทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์ คือ พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว ไม่ตวาดผู้อื่น ไม่มีกิเลส มีตนสำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว พราหมณ์นั้นไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้นในอารมณ์ไหน ๆในโลก ควรกล่าวถ้อยคำว่า ตนเป็นพราหมณ์โดยธรรม

เมื่อครบ ๗ วัน ทรงออกจากสมาธิ เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธ ไปเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจจลินท์ตลอด ๗ วัน มุจจลินทนาคราชได้แวดวงพระกายพระผู้มีพระภาคด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียร เพื่อป้องกันฝนและลมหนาว ทรงแสดงธรรมแก่มุจจลินทนาคราช ว่า ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้สันโดษ มีธรรมปรากฏแล้วเห็นอยู่ ความไม่พยาบาท คือ ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัด คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก การกำจัดอัสมิมานะเสียได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง

เมื่อครบ ๗ วัน ทรงออกจากสมาธิ เสด็จจากควงไม้มุจจลินท์ ไปเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้ราชายตนะตลอด ๗ วัน พ่อค้าตปุสสะและภัลลิกะ ได้นำสัตตุผงและสัตตุก้อนมาบูชาพระผู้มีพระภาค ตปุสสะและภัลลิกะ ได้ขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมเป็นสรณะ เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ เป็นชุดแรกในโลก

เมื่อครบ ๗ วัน ทรงออกจากสมาธิ เสด็จจากควงไม้ราชายตนะ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ มีพระปริวิตกแห่งจิตว่าธรรมที่ได้บรรลุแล้ว เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทรงเห็นว่ายังไม่ควรจะประกาศธรรม พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม

ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์  จึงทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยและมาก ทั้งที่มีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ทั้งที่มีอาการดีและทราม ทั้งที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายและยาก ทั้งที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เปรียบเหมือนดอกบัว ที่เกิด เจริญ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม

แล้วทรงมีพุทธปริวิตกว่าควรจะแสดงธรรมแก่ใครเป็นคนแรก เมื่อทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสเสียชีวิตแล้ว ทรงจะแสดงธรรมแก่ปัญญจัคคีย์ที่อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันด้วยความเป็นผู้มีอุปการะมาก ระหว่างทางพระผู้มีพระภาคพบกับอุปกาชีวก ประกาศพระองค์เป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ
 

 


อ่าน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔

อ้างอิง
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๑-๓
ลำดับที่
3

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ