Main navigation

กฬารขัตติยสูตร

ว่าด้วย
พยากรณ์อรหัตผล
เหตุการณ์
กฬารขัตติยภิกษุจึงไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่าพระสารีบุตรอวดอ้างอรหัตตผล

เมื่อกฬารขัตติยภิกษุกล่าวกับพระสารีบุตรว่า โมลิยผัคคุณภิกษุได้ลาสิกขาแล้ว พระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านโมลิยผัคคุณะคงไม่ได้ความพอใจในพระธรรมวินัย

กฬารขัตติยภิกษุจึงกล่าวว่าพระสารีบุตรว่าคงได้ความพอใจในพระวินัย พระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านได้ความพอใจและไม่มีความสงสัยในพระธรรมวินัยทั้งในปัจจุบันและต่อไป กฬารขัตติยภิกษุจึงไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่าพระสารีบุตรอวดอ้างอรหัตตผล

พระผู้มีพระภาคเรียกท่านสารีบุตรมาตรัสถามว่าได้อวดอ้างอรหัตผลจริงหรือไม่ ท่านสารีบุตรตอบว่าท่านหาได้กล่าวเนื้อความตามบท ตามพยัญชนะเช่นนั้น

พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่ากุลบุตรย่อมอวดอ้างอรหัตผลโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง บุคคลทั้งหลายก็ต้องเห็นอรหัตผลที่อวดอ้างไปแล้วโดยความเป็นอันอวดอ้าง

พระสารีบุตรจึงกราบทูลอีกครั้งว่าตนมิได้กล่าวเนื้อความตามบทพยัญชนะนั้น

พระผู้มีพระภาคจึงถามพระสารีบุตรว่า ถ้าเขาถามว่าท่านรู้เห็นอย่างไรจึงอวดอ้างอรหัตผลว่า เราย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี พระสารีบุตรพึงพยากรณ์อย่างไร

พระสารีบุตรตอบว่า จะพยากรณ์ว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี เพราะรู้ได้ว่าเมื่อปัจจัยแห่งชาติสิ้นแล้ว เพราะปัจจัยอันเป็นต้นเหตุสิ้นไป ชาติจึงสิ้นไป

พระผู้มีพระภาคทรงถามต่อถึงเหตุ สมุทัย ของปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งพระสารีบุตรพยากรณ์ดังนี้

ชาติมีภพเป็นเหตุ มีภพเป็นสมุทัย มีภพเป็นกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด

ภพมีอุปาทานเป็นเหตุ มีอุปาทานเป็นสมุทัย มีอุปาทานเป็นกำเนิด มีอุปาทานเป็นแดนเกิด

อุปาทานมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นสมุทัย มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด

ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด

เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นสมุทัย มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด

เวทนา ๓ เหล่านี้คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความเพลิดเพลินในเวทนาจึงไม่ปรากฏ

อาสวะทั้งหลายย่อมไม่ครอบงำผู้มีสติ เพราะความหลุดพ้นในภายใน เพราะอุปาทานทั้งปวงสิ้นไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่าที่พระสารีบุตรพยากรณ์ความนั้นโดยย่อ ก็ได้ใจความดังนี้ว่า อาสวะเหล่าใดอันพระสมณะกล่าวแล้ว พระสารีบุตรไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลงว่า ตนได้ละอาสวะเหล่านั้นแล้วหรือยัง

เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปแล้วไม่นานนัก พระสารีบุตรจึงกล่าวกะภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
ถามปัญหาข้อแรกกับท่าน ซึ่งท่านยังไม่เคยรู้มาก่อน จึงทูลตอบปัญหาล่าช้าไป ต่อเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาปัญหาข้อแรกแล้ว ท่านจึงคิดได้ว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นด้วยบทอื่น ๆ ด้วยปริยายอื่น ๆ ท่านก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วยบทอื่น ๆ ด้วยปริยายอื่น ๆ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะพระสารีบุตรได้แทงตลอดธรรมธาตุแล้ว หากพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหา ด้วยบทอื่น ๆ ด้วยปริยายอื่น ๆ ท่านพระสารีบุตรก็จะทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคได้ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งคืน ตลอดสองคืนสองวัน ตลอดสามคืนสามวัน ตลอดห้าคืนห้าวัน ตลอดหกคืนหกวัน ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน
 

 

อ่าน กฬารขัตติยสูตร

 

อ้างอิง
กฬารขัตติยสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ ข้อที่ ๑๐๔-๑๑๗ หน้า ๔๗-๕๒
ลำดับที่
17

สถานที่

วิหารเชตวัน

สถานการณ์

การตอบปัญหาธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ